(เลือกที่รูปเพื่ออ่านฉบับเต็มและข้อมูลกองทุน Wellington Global Health Care Equity Portfolio ที่ BCARE และ BCARERMF ลงทุน)
ในช่วงครึ่งแรกของปี ค.ศ. 2020 ธุรกิจโกลบอลเฮลธ์แคร์โดยเฉพาะกลุ่มไบโอเทคโนโลยี ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 ในสามส่วนคือ
1. สถานการณ์โควิด-19 ทำให้แผนการทดลองยาทางคลีนิคและการอนุมัติให้ใช้ยาที่ว่านี้ถูกเลื่อนออกไป
2. ยอดขายยาและการเปิดตัวของยาใหม่ก่อนเข้าสู่ตลาด ไม่ได้ร้อนแรงเท่ากับช่วงก่อนเกิดสถานการณ์โควิด-19
3. ดีลควบรวมกิจการของบริษัทยาลดลงเพราะข้อจำกัดของการเดินทางทางธุรกิจ (Business Travel)
ในขณะที่การเลือกตั้งสหรัฐฯ ที่ยิ่งใกล้เข้ามาทุกทีทำให้ประเด็นเรื่องการปฎิรูประบบประกันสุขภาพและราคายาถูกหยิบยกขึ้นมาใช้หาเสียง ซึ่งจะกระทบราคาหุ้นของบริษัทผู้ผลิตยา กลุ่มโรงพยาบาล และบริษัทประกันสุขภาพ ดังนั้นการเลือกลงทุนหุ้นกลุ่มเฮลธ์แคร์นั้น มีความจำเป็นที่จะต้องจัดสรรเฉพาะหุ้นที่ได้รับประโยชน์จากการระบาดหรือสอดรับวิถี New Normal รวมทั้งได้รับผลกระทบจากประเด็น ทางการเมืองจำกัด หุ้นกลุ่มที่คาดว่าจะเป็นผู้ชนะ (Winner) ได้แก่
1. หุ้นเฮลธ์แคร์ในกลุ่มเทคโนโลยีชีวภาพ หรือไบโอเทคโนโลยี เช่น บริษัทที่ผลิตยารักษาโรคซับซ้อน การตัดต่อพันธุกรรม ทั่วโลกมีการทดลองยารักษา COVID-19 เกือบ 1,500 ชนิดและวัคซีน 58 ชนิด ที่บริษัทในกลุ่มไบโอเทคโนโลยีกำลังวิจัยและพัฒนา เช่น บริษัท Moderna ที่กำลังทดลองวัคซีนประเภท mRNA ที่เป็น การฉีดสารพันธุกรรมของไวรัสเข้าไปในร่างกายแล้วให้ร่างกายเป็นโรงงานผลิตวัคซีนเพื่อกระตุ้นภูมิต้านทาน บริษัท Novavax ที่ทดลอง Protien based Vaccine ที่เป็นการฉีดโปรตีนของไวรัสเข้าไปในร่างกายเพื่อกระตุ้นให้เกิดการสร้างภูมิคุ้มกัน และเมื่อ การระบาดจบลง บริษัทกลุ่มนี้ยังคงมีศักยภาพในการเติบโตระยะยาว เนื่องจากเป็นผู้คิดค้นยารักษาโรคที่ซับซ้อนอื่นๆ เช่น โรคมะเร็ง โรคกลุ่มหัวใจและหลอดเลือด รวมถึงโรคที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม ซึ่งยาเหล่านี้มีผู้ผลิตน้อยราย แต่มีผู้ต้องการอยู่มาก
2. หุ้นกลุ่มผู้ให้บริการพบแพทย์ทางไกล ในช่วงที่ภาครัฐมีมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม ผู้ป่วยจำเป็นต้องปรึกษาอาการเบื้องต้นหรือติดตามอาการที่ไม่ร้ายแรงกับแพทย์ ผ่านทาง Video Conference เพื่อหลีกเลี่ยงการเดินทางมาโรงพยาบาล โดยบริษัทผู้ให้บริการด้านนี้ได้แก่ บริษัท Teledoc Health และแม้ว่าเมื่อการระบาดจบลง บริการนี้จะยังใช้แพร่หลาย เพราะการพบแพทย์ทางไกลถือเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะทำให้ผู้ป่วยได้รับ บริการทางการแพทย์อย่างทั่วถึงมากขึ้น
3. หุ้นกลุ่มผู้ผลิตเครื่องมือแพทย์ บริษัทผู้คิดค้นเครื่องมือตรวจหาเชื้อ เช่น บริษัท Thermo Fisher Scientific บริษัท Becton Dickinson ซึ่งเป็นผู้ผลิตเครื่องมือตรวจ หาเชื้อโควิด-19 ที่ได้รับอนุมัติจากองค์กรอาหารและยาสหรัฐฯ (FDA) นอกจากนี้ เครื่องมือแพทย์ยังเป็นอุปกรณ์สำคัญและใช้อย่าง แพร่หลายในชีวิตประจำวัน เช่น บริษัท Dexcom ที่ผลิตเครื่องมือวัดระดับน้ำตาลกลูโคสแบบ Real time สำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน และคนทั่วไปก็สามารถใช้เพื่อรักษาสุขภาพได้เช่นเดียวกัน
หุ้นโกลบอลเฮลธ์แคร์เป็นกลุ่มที่มีนวัตกรรมทางเทคโนโลยีที่น่าสนใจและเหมาะสำหรับการลงทุนระยะยาว เนื่องจาก
1. อุตสาหกรรมที่กำลังก้าวเข้าสู่วัฏจักรของนวัตกรรมใหม่ (New Innovation Cycle) อันเป็นผลมาจากการศึกษาจีโนมมนุษย์ ต่อเนื่องมายาวนานเกินกว่า 20 ปี จีโนมเป็นข้อมูลทางพันธุกรรมทั้งหมดที่จำเป็นในการสร้างและจำเป็นต่อการดำรงชีวิตอย่างปกติของมนุษย์ ข้อมูลนี้มีประโยชน์ตรงที่นำไปสู่การบำบัดด้วยยีน (Gene therapy) มีการนำยีนไปผลิตโปรตีนรักษาโรค เช่น โรคมะเร็ง บาดแผลเรื้อรังรักษาไม่หาย และนำไปสู่วิธีการตรวจ การผลิตวัคซีนใหม่ๆ สำหรับโรคที่ไม่เคยรักษาได้มาก่อน เช่น
1.1 เทคนิคตรวจหามะเร็งระยะแรกจากเลือด (Liquid Biopsy) เทคโนโลยีใหม่ของการพยายามตรวจวินิจฉัยโรคจากตัวอย่างเลือดแทนการตรวจด้วยตัวอย่างชิ้นเนื้อเยื่อแบบเก่าเพื่อหาความผิดปกติที่บ่งชึ้ถีงโรคมะเร็ง
1.2 เทคนิคโปรตีโอมิกส์ (Proteomic Technology) เป็นเทคนิคสำคัญต่อการศึกษางานด้านโปรตีน การแสดงออกของโปรตีน การระบุชนิดและขนาดของโปรตีน การค้นหาสารบ่งชี้ทางชีวภาพผ่านกระบวนการ ionization สามารถวิเคราะห์โดยใช้ตัวอย่าง ที่มีปริมาณน้อยๆ ในระดับเฟมโตโมล ด้วยเทคนิคแมสสเปกโทรเมทรี นำไปสู่การรักษาโรคที่ในอดีตไม่เคยรักษาให้หายได้
1.3 ควอนตัมบำบัด (Quantum treatment) เป็นการใช้พลังงานคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าคลื่นความถี่ต่ำ ช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน และปรับอวัยวะให้มีการต่อต้านระบบการทำงานที่ไม่ปกติ
2. นวัตกรรมทางไบโอเทคโนโลยีมีการก้าวกระโดดไปอีกหลายแขนง อาทิ
2.1 Adoptive T-cell Therapy เป็นการรักษามะเร็งเม็ดเลือดขาวโดยเป็นเซลล์ที่เกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายที่มีอยู่จำนวน 80% ทำหน้าที่สร้างเซลล์เพื่อฆ่าเชื้อโรค ด้วยวิธี Chimeric Antigen Receptor T cell (CAR-T Therapy) เป็นการรักษาแบบภูมิคุ้มกันบำบัดและแบบเซลล์บำบัดที่มี ประสิทธิภาพสูงและให้ผลดีมากโดยเฉพาะผู้ป่วยมะเร็งเม็ดเลือดขาวแบบเฉียบพลันหรือมะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดบีเซลล์ที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยวิธีมาตรฐานที่มีอยู่ในขณะนี้ ปัจจุบันการรักษาได้รับการอนุมัติจากองค์การอาหารและยาของ สหรัฐอเมริกา (FDA) และมีอยู่สองชนิดที่ได้รับการอนุมัติให้จัดจำหน่าย ได้แก่ Kymriah จาก Novartis และ Yescarta จาก Kite Pharma แต่ราคายาสูงกว่า 15 ล้านบาท
2.2 ยีนส์บำบัด (Gene Therapy) เป็นการนำยีนส์ปกติอีกชุดหนึ่งใส่เข้าไปในร่างกายผู้ป่วยเพื่อรักษาโรคที่ยีนส์ผิดปกติทางพันธุกรรมผ่านการปฏิบัติการเพียงครั้งเดียว เช่น การเพิ่มปริมาณเม็ดเลือดแดง การเพิ่มปริมาณของหลอดเลือดในกล้ามเนื้อ
2.3 การรักษาโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (SMA) เมื่อวันที่ 24 พ.ค. 2019 องค์การอาหารและยาของสหรัฐฯ (FDA) ได้อนุมัติให้สามารถขายยา Zolgensma (โซลเจนส์มา) ที่ใช้สำหรับรักษาโรคกล้ามเนื้อฝ่อจากไขสันหลัง หรือที่เรารู้จักกันดีในชื่อโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (SMA) ซึ่งมีราคาเข็มละกว่า 2 ล้านเหรียญฯ (ราว 68 ล้านบาท) Source: Cure SMA website (https://www.curesma.org/)
2.4 เทคนิคการตัดแต่งพันธุกรรม (CRISPR (Clustered Regularly Interspaced Short Palindromic Repeats)) แพทย์สามารถตัดต่อหน่วยพันธุกรรมที่ต้องการและในตำแหน่งที่จำเพาะเพื่อใช้แก้ไขความผิดปกติทางพันธุกรรม หมายความว่าโรคที่เกี่ยวข้องกับพันธุกรรมจะสามารถรักษาให้หายขาดเป็นปกติได้โดยอาจมีการประยุกต์ใช้ร่วมกับเซลล์ต้นกำเนิด (Stem cell) และมีแนวโน้มว่า อาจจะประยุกต์ใช้ในการรักษาโรคมะเร็ง หรือโรคเรื้อรังอื่นๆ ได้ด้วย รวมไปถึงต้านการติดเชื้อแบคทีเรียและเชื้อไวรัสต่างๆ
ข้อมูลในบทความนี้เป็นข้อมูลที่มีการเผยแพร่ต่อสาธารณะ ซึ่งนักลงทุนสามารถเข้าถึงได้โดยทั่วไป และเป็นข้อมูลที่เชื่อว่าน่าจะเชื่อถือได้ แต่ทั้งนี้ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม บัวหลวง จำกัด (“บริษัท”) มิได้ยืนยันหรือรับรองถึงความถูกต้อง หรือสมบูรณ์ของข้อมูลดังกล่าวแต่อย่างใด ความคิดเห็นที่ปรากฏในบทความนี้เป็นเพียงการนำเสนอในมุมมองของบริษัท และเป็นความคิดเห็น ณ วันที่ปรากฏในบทความเท่านั้น ซึ่งอาจเปลี่ยนแปลงได้ภายหลังวันดังกล่าว โดยบริษัทไม่จำเป็นต้องแจ้งสาธารณชน หรือผู้ลงทุนทราบ บทความฉบับนี้จัดทำขึ้นเพื่อเผยแพร่ข้อมูลเท่านั้น บริษัทไม่รับผิดชอบต่อการนำข้อมูลหรือความคิดเห็นใดๆไปใช้ในทุกกรณี ดังนั้นผู้ลงทุนควรใช้ดุลพินิจในการพิจารณา เนื่องจากการลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนจึงควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน