RAMS India Equity Portfolio กองทุนหลักของ B-BHARATA ให้ความเห็นถึงการจัดพอร์ตลงทุนรับมือ COVID-19 ดังนี้
ภายใต้สถานการณ์ดังกล่าว กองทุนหลักถือครองเงินสดเพิ่มขึ้นหรือมีการปรับเปลี่ยนการลงทุนไปยัง Defensive stock บ้างไหม อย่างไร
- ในช่วงแรกที่ COVID-19 ส่งผลกระทบต่อเฉพาะจีน กองทุนหลักได้
“ลดสัดส่วน” หุ้นของบริษัทจดทะเบียนที่อยู่ในกลุ่มผู้ผลิตยานยนต์ ผู้ผลิตโลหะ และสายการบิน บริษัทเหล่านี้มีมีสัดส่วนรายได้ที่มาจากการดำเนินธุรกิจข้ามพรมแดน และได้ “เพิ่มสัดส่วน” ถือครองหุ้นบริษัทที่มีรายได้หลักในประเทศเช่นบริษัทกลุ่มสถาบันการเงิน กลุ่มสื่อสาร กลุ่มอุตสาหกรรม และกลุ่มผู้ผลิตยานยนต์ที่มีรายได้ในประเทศเป็นหลัก - บริษัทส่วนใหญ่ที่ “ลงทุนเพิ่มจะเป็นหุ้นขนาดใหญ่ที่ราคาลดลงมากเนื่องจากมองโอกาสเด้งกลับจะเกิดกับหุ้นในกลุ่มนี้” โดย ณ เดือนมีนาคม 2563 กองทุนหลักถือครองเงินสด 2-3%
- พอร์ตลงทุน ณ ปัจจุบัน ผู้จัดการได้ปรับพอร์ตไปมากแล้ว ถือว่ามีความพอใจกับรายชื่อหุ้นรายตัว และจะถือครองโดยเฝ้าติดตามสถานการณ์ต่อไป
ระดับมูลค่าตลาดหุ้นอินเดียปัจจุบันเมื่อวัดจากดัชนี NIFTY 1 Yr fwd PE 15.1x เทียบกับค่าเฉลี่ยระยะยาว 10 ปีที่ 17.1x กองทุนหลักมองว่ามีความน่าสนใจมาก
- นอกจากนี้เมื่อวัดจาก Price-to-Book 2.0x ก็ยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาว 2.6x
- ในแง่มูลค่าตลาดบริษัทจดทะเบียนเทียบกับขนาดเศรษฐกิจ (Market cap to GDP) พบว่ามี “สัดส่วนเพียง 58% ถือว่าต่ำที่สุดหลังเหตุการณ์วิกฤตการเงินปี 2008”
กองทุนหลักมีมุมมองต่อภาวะการลงทุนในช่วงนี้อย่างไร
- ยังคงยึดมั่นในหลักการบริหารการลงทุนในรูปแบบและกลยุทธ์การลงทุนเหมือนเดิม โดยเน้นให้น้ำหนักมากกว่าดัชนี o/w ในหุ้นบริษัทที่อยู่ในกลุ่มสถาบันการเงิน กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค และกลุ่มอุตสาหกรรม ซึ่งมีโครงข่ายเชื่อมโยงกับอุปสงค์ในประเทศ หลีกเลี่ยงลงทุนในหุ้นบริษัทที่มีการดำเนินธุรกิจในต่างประเทศเพราะมองว่าหุ้นในกลุ่มนี้สุ่มเสี่ยง จะอดทนถือครองบริษัทที่มีงบการเงินแข็งแกร่ง ทนทาน ต่อภาวะเศรษฐกิจขาลง ณ วันที่ 18 มีนาคม ดัชนี Nifty 50 ได้ปรับลดลงแล้ว 28% สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ คาดว่าจะมี Downside ลงต่อไปได้อีก 5-10% ขณะที่ upside จะเกิดขึ้นเมื่อสถานการณ์ COVIT-19 ในอินเดียควบคุมได้
Portfolio Positioning กองทุนหลัก ณ วันที่ 18 มีนาคม 2563
จุดเด่นของตลาดหุ้นอินเดียในช่วงนี้ว่าด้วยเรื่องอะไร
- เป็นเรื่องของการ “ปรับตัวลดลงอย่างรุนแรงของราคาน้ำมันดิบ” อินเดียนำเข้าสุทธิน้ำมันจากต่างประเทศสูงถึง 70% ของปริมาณการใช้ ดังนั้นทุกๆ 1 ดอลลาร์ที่น้ำมันดิบมีราคาลดลงส่งผลให้เงินสำรองระหว่างประเทศเพิ่มขึ้น 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ห้วงเวลาที่ราคาน้ำมันดิบร่วงลงแรงส่งผลให้ดุลบัญชีเดินสะพัดของอินเดียซึ่งเคยขาดดุลมาตลอด กลับมาสู่ระดับขาดดุลเพียงเล็กน้อยถึงใกล้ระดับศูนย์เปอร์เซนต์ ทุนสำรองระหว่างประเทศพุ่งขึ้นเป็น 460 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
- ตลาดคาดว่าธนาคารกลางอินเดีย (RBI) มีโอกาสปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก 115 bps ในปีนี้ อัตราเงินเฟ้อปรับลดลงจาก 7.6% ในเดือนมกราคม 2563 เหลือ 6.68% สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2563 และคาดว่าจะลดลงต่อหลังราคาสินค้าผักลดลงแรง
บทเรียนอดีตได้สร้างความรู้ให้เกิดขึ้นแล้ว นักลงทุนจะสังเกตพบว่าตลาดมักจะปรับตัวขึ้น 3-6 เดือน หลังจากที่มีการ Correction ประมาณ 30%
ข้อมูลในบทความนี้เป็นข้อมูลที่มีการเผยแพร่ต่อสาธารณะ ซึ่งนักลงทุนสามารถเข้าถึงได้โดยทั่วไป และเป็นข้อมูลที่เชื่อว่าน่าจะเชื่อถือได้ แต่ทั้งนี้ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม บัวหลวง จำกัด (“บริษัท”) มิได้ยืนยันหรือรับรองถึงความถูกต้อง หรือสมบูรณ์ของข้อมูลดังกล่าวแต่อย่างใด ความคิดเห็นที่ปรากฏในบทความนี้เป็นเพียงการนำเสนอในมุมมองของบริษัท และเป็นความคิดเห็น ณ วันที่ปรากฏในบทความเท่านั้น ซึ่งอาจเปลี่ยนแปลงได้ภายหลังวันดังกล่าว โดยบริษัทไม่จำเป็นต้องแจ้งสาธารณชน หรือผู้ลงทุนทราบ บทความฉบับนี้จัดทำขึ้นเพื่อเผยแพร่ข้อมูลเท่านั้น บริษัทไม่รับผิดชอบต่อการนำข้อมูลหรือความคิดเห็นใดๆไปใช้ในทุกกรณี ดังนั้นผู้ลงทุนควรใช้ดุลพินิจในการพิจารณา เนื่องจากการลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนจึงควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน