Update กองทุน B-BHARATA

กองทุน B-BHARATA

มีนโยบายลงทุนในหน่วยลงทุนของ RAMS Equities Portfolio Fund – India Equities Portfolio Fund ชนิดหน่วยลงทุน Class I (USD) เฉลี่ยรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 90 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน
(เลือกดูข้อมูลกองทุนเพิ่มเติม)

กองทุนหลัก (Master Fund)

RAMS Equities Portfolio Fund – India Equities Portfolio Fund ชนิดหน่วยลงทุน Class I (USD) มุ่งหาผลตอบแทนจากการเพิ่มมูลค่าของเงินลงทุนในระยะยาวผ่านการลงทุนในตราสารทุนและสินทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับตราสารทุนของบริษัทที่จัดตั้งหรือดำเนินธุรกิจในอินเดีย โดยจะลงทุนในตลาดอินเดียไม่น้อยกว่าร้อยละ 90 ของ NAV)

วัดที่จดทะเบียน: 17 พฤษภาคม 2016
ประเทศที่จดทะเบียน: ลักเซมเบิร์ก
สกุลเงิน: USD
เกณฑ์วัดผลการดำเนินงาน (Benchmark): MSCI INDIA USD
Morningstar Category: Large cap blend
Bloomberg code: RAMUSDI LX
Fund size: USD 206.30 Million
*ที่มา: Reliance Asset Management (Singapore) Pte Ltd ข้อมูลเดือนมิ.ย. 2018

สรุปประเด็นสำคัญทางเศรษฐกิจอินเดียในเดือนมิ.ย. 2018

เดือนมิ.ย.หุ้นอินเดียปรับตัวลดลง -1.24% จากการปรับตัวลดลงของหุ้นขนาดเล็กและขนาดกลาง เหตุจากเงินรูปีที่อ่อนค่าลงหลังราคาน้ำมันดิบสูงขึ้นผนวกกับความกังวลต่อสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน นักลงทุนสถาบันในประเทศเป็นผู้ซื้อสุทธิจำนวน 2.1 พันล้านดอลาร์สหรัฐฯ ขณะที่นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 630 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

เงินทุนสำรองระหว่างประเทศ: ลดลงจาก 423 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯในเดือนเม.ย. สู่ระดับ 415 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (แต่ยังสูงกว่า 409 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯเมื่อปลายปีที่แล้ว)

ค่าเงินรูปี: เงินรูปีร่วงลง 7.5% เทียบดอลลาร์สหรัฐฯ (YTD) เนื่องจากดุลบัญชีการค้าขาดดุลเพิ่มขึ้นหลังราคาน้ำมันดิบโลกสูงขึ้น 16% ตั้งแต่ต้นปี อินเดียนำเข้าน้ำมันดิบกว่า 80% ของปริมาณการใช้น้ำมันทั้งประเทศ ดังนั้นราคาน้ำมันที่สูงขึ้นทุกๆ 10 ดอลลาร์สหรัฐฯจะทำให้ขาดดุลการค้าเพิ่มขึ้น 10 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ นอกจากนี้พบเงินทุนไหลออกทั้งตลาดตราสารทุนและตราสารหนี้

ผลตอบแทนหุ้นอินเดีย: หุ้นกลุ่มอุตสาหกรรม สินค้าอุปโภคบริโภค และวัสดุ ให้ผลตอบแทนลดลง ขณะที่หุ้นในกลุ่มไอทีสร้างผลตอบแทนดีอันเนื่องมาจากเงินรูปีอ่อนค่าส่งผลบวกต่อธุรกิจในกลุ่มนี้

เงินเฟ้ออินเดีย: อัตราเงินเฟ้อเดือนมิ.ย.เพิ่มขึ้นเป็น 4.9% จาก 4.6% ในเดือนพ.ค. จากราคาสินค้ากลุ่มน้ำมันที่เพิ่มขึ้น 6.2%

ยอดขายรถ: อุสาหกรรมผลิตรถยนต์อยู่ในช่วงที่เติบโตอย่างก้าวกระโดด ยอดขายรถยนต์เทียบกับปีที่แล้วเพิ่มขึ้นในทุกประเภท ประเภทรถโดยสารเพิ่มขึ้น 30% รถแทรกเตอร์เพิ่มขึ้น 30% รถพาณิชย์เพิ่มขึ้น 40% รถมอเตอร์ไซด์เพิ่มขึ้น 20%

ราคาซีเมนต์: ราคาเชื้อเพลิงที่สูงขึ้นและความต้องการซีเมนต์ภายในประเทศเพิ่มขึ้นทำให้ราคาซีเมนต์ต่อหน่วยเพิ่มขึ้น 2.2% จากต้นเดือนมิ.ย. ยอดขาดดุลการค้าเพิ่มขึ้นเป็น 14.6 พันล้านดอลลาร์ในเดือนพ.ค. จาก 13.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯในเดือนเม.ย. ขณะที่โอเปกเซนต์ข้อตกลงร่วมกันในการเพิ่มการผลิต 1 ล้านบาร์เรล/วัน

อัตราดอกเบี้ย: ธนาคารกลางอินเดีย (RBI) ปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยจาก 6.00% เป็น 6.25% หลังคงดอกเบี้ยมาตลอด 4 ปี คณะกรรมการพิจารณานโยบายการเงินปรับเพิ่มประมาณการณ์อัตราเงินเฟ้อในปี FY18 ขึ้น 30bp จาก 4.4% เป็น 4.7% คาดการณ์อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP) ในปีนี้ 7.4% เท่าเดิม

ปัจจัยบวกและลบต่อหุ้นอินเดีย

(+) การถือครองหุ้นและกองทุนรวมหุ้นของคนอินเดียที่ระดับต่ำเพียง 4% ของ GDP มีสัญญาณเร่งตัวส่งผลบวกต่อเม็ดเงินลงทุน ในตลาดหุ้นเห็นได้จากยอดซื้อสุทธิจากกองทุนรวมในประเทศ

(+/-) กำไรบริษัทจดทะเบียนออกมาต่ำกว่าคาด เป็นผลสืบเนื่องจากการยกเลิกธนบัตรที่ใช้อยู่ในระบบร้อยละ 85 และการปฏิรูปภาษีในปีที่แล้ว ราคาหุ้นที่ลดลงในช่วงนี้ทำให้ดูสมเหตุสมผลขึ้นเดิมที่ซื้อขายในระดับสูง คาดว่าปี FY18 ปี FY19 กำไรสุทธิจะเติบโตในอัตรา 20% ต่อปี

(+/-) การเลือกตั้งสามรัฐสำคัญๆในปลายปี (เดือนพ.ย.-ธ.ค.2018) ต่อจนถึงการเลือกตั้งทั่วไปในเดือนพ.ค.2019 จะเป็นช่วงที่ตลาดหุ้นอินเดียมีความผันผวนสูงมากเนื่องจากการเมืองปัจจัยสำคัญของตลาดหุ้นอินเดีย

(-) น้ำมันดิบระดับสูงจะส่งผลลบต่อบัญชีดุลการค้า ทำให้เงินรูปีอ่อนค่า กระแสเงินทุนไหลออกจากตลาดหุ้นและตลาดบอนด์

(-) หากพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯอายุ 10 ปีสูงขึ้นทำให้กระแสเงินไหลออกจากตลาดเกิดใหม่ (EM) ดังที่เห็นตั้งแต่ต้นปี อินเดียเป็นส่วนหนึ่งของตลาดเกิดใหม่

(-) หากรายได้การเก็บภาษี (GST Tax Collection) ต่ำกว่าเป้าหมายอาจทำให้รัฐงบขาดดุลงบประมาณเกินกว่าเป้าที่ตั้งไว้ที่ 3.3% ของ GDP ส่งผลเชิงลบต่อภาพมหภาคอินเดีย

ผลตอบแทนกองทุนหลัก: ในเดือนมิ.ย.ลดลงต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐานอันเนื่องมาจากหุ้นขนาดกลาง (BSE Midcap -19.05%) และหุ้นขนาดเล็ก (BSE Small cap -22.34%) กองทุนมีสัดส่วนการลงทุนในหุ้นใหญ่/ขนาดกลาง/ขนาดเล็ก เท่ากับ 56%/24%/15% ตามลำดับ

แนวทางการปรับพอร์ต: พอร์ต Defensive มากขึ้น คาดว่าจะคงสัดส่วนหุ้นขนาดใหญ่ (Large cap) ไว้ที่ 55-60% อาทิบริษัท Reliance Industries Limited, Maruti Suzuki Limited เนื่องจากเป็นหุ้นที่มักให้ผลตอบแทนดีในช่วงที่ตลาดมีความเสี่ยงสูงทางด้านมหภาค และจะหาจังหวะเชิงเทคนิคในช่วงที่ค่าเงินดอลลาร์เปลี่ยนทิศ หรือน้ำมันดิบเกิด Correction เข้าลงทุนหุ้นบางตัวที่ได้รับประโยชน์ สถานะลงทุนปัจจุบันกว่า 67% ของพอร์ตอยู่ในหุ้นสามกลุ่มอุตสาหกรรม ซึ่งได้แก่ กลุ่มสถาบันการเงิน กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค และกลุ่มเทคโนโลยีสาระสนเทศ

ตาราง 1: แสดงสัดส่วนจำแนกตามมูลค่าตลาด ของหุ้นในพอร์ตกองทุนหลัก Reliance India Equity Portfolio Fund

Market cap Portfolio Positioning
Large Cap 56%
Mid Cap 24%
Small Cap 15%
Cash 5%

หมายเหตุ: หุ้นอินเดีย Large cap คือบริษัทที่มีมูลค่าตลาดมากกว่า 4.5 พันล้านดอลาร์สหรัฐฯ, หุ้นอินเดีย Mid Cap คือบริษัทที่มีมูลค่าตลาดอยู่ระหว่าง 1.2-4.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ, หุ้นอินเดีย Small Cap คือบริษัทที่มีมูลค่าตลาดน้อยกว่า 1.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
ที่มา: Reliance Asset Management (Singapore) Pte. Ltd, เดือนมิถุนายน 2018

ทิศทางตลาดหุ้นอินเดียจากผู้จัดการกองทุนหลัก

(In an interview, Manish Gunwani, CIO, Equity Investments, Reliance Mutual Fund)

ถาม: คุณมองกรอบระยะเวลากี่เดือนเพื่อให้หุ้นในพอร์ตลงทุนฟื้นตัว
จะดีขึ้นหากแรงขายหุ้นขนาดกลางและเล็กหมดรอบลง หุ้นขนาดกลางและเล็ก (Nifty Mid Cap Index) ปรับฐานลงมากว่า -20% แล้วจากจุดสูงสุด

ถาม: คุณคาดว่าอัตรากำไรสุทธิบริษัทจดทะเบียนจะอยู่ที่เท่าไรในปีนี้และปีหน้า
ปี FY19 (ช่วงเดือนเม.ย. 18 – มี.ค. 19) กำไรสุทธิเติบโต 20-22% ต่อปี และปี FY20 (ช่วงเดือนเม.ย. 19 – มี.ค. 20) กำไรสุทธิเติบโต 15-17% ต่อปี
ที่มา: Reliance Asset Management (Singapore) Pte. Ltd, เดือนมิถุนายน 2018

ตลาดหุ้นอินเดีย (SENSEX) ทำจุดสูงสุดใหม่ (New High) แต่ราคากองทุนหลักขึ้นมาไม่มาก เนื่องจากดัชนี SENSEX ขึ้นมาด้วยราคาหุ้นขนาดใหญ่เพียง 5 บริษัท ซึ่งได้แก่บริษัท Tata Consultancy Services, บริษัท Infosys ที่ได้รับประโยชน์จากเงินรูปีอ่อนค่า ทั้งสองบริษัทมีรายได้ในรูปสกุลดอลลาร์สหรัฐฯและยูโร รวมถึงเศรษฐกิจสหรัฐฯที่สดใสจึงสนับสนุนหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี บริษัท HDFC Bank และบริษัท Kotak Mahindra Bank ราคาหุ้นมักให้ผลตอบแทนดีในช่วงที่ตลาดอินเดียมีความเสี่ยงสูงทางด้านมหภาคเนื่องจากเป็นหุ้นปลอดภัย (Safety Stock) มีคุณภาพ งบการเงินแข็งแกร่ง อีกทั้งผลการดำเนินงานออกมาดี บริษัท Reliance Industry Limited กำไรเติบโตเด่นจากธุรกิจด้านระบบเครือข่ายมือถือ จึงได้รับการปรับ Re-Rating ขึ้นว่า PE ของบริษัทควรจะสูงกว่าที่เป็นอยู่

หุ้นอินเดียมีปัจจัยบวก 4 ประเด็นในทุกภาวะการณ์คือ

  1. การเพิ่มขึ้นของชนชั้นกลาง
  2. ความต้องการความเป็นอยู่พื้นฐาน
  3. การเติบโตของเมือง
  4. ศูนย์กลางการผลิต Make in India

ความเสี่ยงอะไรที่นักลงทุนเฝ้าติดตาม

  1. แรงกดดันระยะสั้นจากราคาน้ำมันดิบระดับสูง ซึ่งทำให้งบประมาณขาดดุลจากการที่อินเดียนำเข้าสุทธิน้ำมันจากต่างประเทศ
  2. โมดิจะชนะการเลือกตั้งในปี 2019 หรือไม่ คาดว่าตลาดปัจจุบันคาดการณ์ถึงชัยชนะของโมดิไปมากแล้ว
  3. แรงขายหุ้นขนาดกลาง (BSE Midcap Index ผลตอบแทนในปี FY2017 +48.1%) และหุ้นขนาดเล็ก (BSE Small Cap Index ผลตอบแทนในปี FY2017 +60.8%) จากนักลงทุนรายย่อยอินเดียหลังราคาปรับตัวขึ้นมามากในปีที่ผ่านมา

ตาราง: แสดงแผนปฏิรูปเศรษฐกิจของนายกโมดิในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา

รายละเอียด
1 แผนปฏิรูปภาษี
(Tax Reform)
บังคับใช้ภาษีสินค้าและบริการใช้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค. 17 สร้างระบบภาษีเดียวให้กับทุกรัฐ ลดอุปสรรคด้านการค้าขายสินค้าและบริการ ขจัดความเหลี่ยมล้ำด้านการเสียภาษีซ้ำซ้อน และฐานภาษีแตกต่างกันในแต่ละรัฐ โดยไม่จำเป็น
2 India Bankruptcy code (IBC) เป็นแผนปฏิรูปที่สำคัญที่สุดเพราะจะเข้ามาช่วยขจัดประเด็นที่ค้างคามาตลอดคือ หนี้เสีย (Non-performing loan) ในระบบสถาบันการเงินที่ปัจจุบันอยู่ระดับ 10% ของยอดหนี้รวม กฎหมายดังกล่าวงกำหนดกรอบไว้ในระยะเวลา 270 วัน ในการสะสางประเด็น ตั้งแต่ต้นปีพบการเปลี่ยนแปลงเชิงบวก อาทิ บริษัทลูกหนี้เริ่มขายทรัพย์สินออกมาชำระหนี้ของตนเอง มีดีลการควบรวมกิจการใหญ่ๆเกิดขึ้นอาทิบริษัท Bhushan Steel ซึ่งถูกซื้อโดย Tata Steel
3 บัตรประชาชนอิเลคทรอนิกส์ (JAM) Aadhar และ Jan Dhan เป็นระบบออนไลน์ที่ใช้ระบุตัวตนของพลเมืองอินเดียซึ่งครอบคลุมประชากรกว่า 98% ของประเทศ ทำให้การจัดเก็บรายได้เป็นไปตามเป้าหมาย งบประมาณใช้จ่ายจึงเบิกจ่ายได้ตามแผนที่รัฐวางไว้
4 Ease of doing business รัฐบาลได้ผลักดันให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนทางตรง (FDI) ผ่านนโยบาย Make in India ในธุรกิจหลากหลายอุตสาหกรรม เช่น โครงสร้างพื้นฐาน ยานยนต์ เภสัชกรรมยา ประกันชีวิต เคมี สิ่งทอ สายการบิน ทำให้อันดับ “Ease of Doing Business” ของโลก เพิ่มขึ้นจากอันดับ 130 เป็นอันดับที่ 100 ของโลก
5 Housing for all by 2022 เป้าหมายสร้างบ้านให้ได้ 20 ล้านหลังภายในปี 2022 ซึ่งทำสำเร็จไปแล้ว 9.3 ล้านหลังในช่วง 3.5 ปีที่ผ่านมา ที่ผ่านมาใช้งบประมาณรวมทั้งสิ้น 4.19 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
6 Real estate regulation act เพิ่มการกำกับดูแลการปฏิบัติงานธุรกิจที่อยู่อสังหาริมทรัพย์ เพื่อให้มีความโปร่งใส ตรวจสอบได้ มีธรรมาภิบาล เพื่อเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค

ผลการดำเนินงานกองทุนย้อนหลัง (ข้อมูล ณ วันที่ 30 สิงหาคม 2018)

เกณฑ์มาตรฐาน1 คือ MSCI India (Total Return Net) ในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ปรับด้วยอัตราแลกเปลี่ยนเพื่อคำนวณผลตอบแทนเป็นสกุลเงินบาท ณ วันที่คำนวณผลตอบแทน
เกณฑ์มาตรฐาน2 คือ MSCI India (Total Return Net)

หมายเหตุ: B-BHARATA จดทะเบียนวันที่ 14 กันยายน 2017,
กองทุนหลัก RAMS Equities Portfolio Fund – India Equities Portfolio Fund จดทะเบียนวันที่ 17 พฤษภาคม 2016

September 19, 2018